1 วัน ณ เกาะสีชัง

วันที่ : 2023.06.10

 

Skylab เป็นวิธีที่เราเลือกเดินทางสำรวจเกาะสีชัง แต่ถ้าคนเยอะก็มีรถสองแถวพาเที่ยวได้เหมือนกัน โดยเราให้ทางโรงแรมที่เราพักเรียกรถให้ ซึ่งข้อดีของการใช้บริการนี้จากโรงแรม คือ ราคาเขียนไว้ชัดเจน  และรถ Skylab ที่มารับลูกค้าของโรงแรมก็ต้องรักษามาตรฐานของตัวเอง พี่คนขับบอกว่าถ้าลูกค้าร้องเรียนเรื่องการบริการ  รถคันนั้นจะถูกขึ้นบัญชีห้ามใช้บริการทันที

 

 

ศาลเจ้าพ่อเข้าใหญ่ พี่คนขับบอกว่าจุดเริ่มต้นของการเที่ยวเกาะควรจะเริ่มที่นี่เพราะศาลเจ้าพ่อเข้าใหญ่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพโดยเฉพาะเรื่องการค้าขาย 

ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่อยู่บนเขาเตี้ยๆ วิธีการขึ้นเขามี 2 วิธี คือ รถรางหรือบันได วันที่เราไปรถรางไม่เปิดให้บริการ ดังนั้น บันไดเป็นตัวเลือกเดียวที่มี ที่จริงบันไดก็ไม่ได้ชันและสูงมากนักแค่พอหอบๆก็ถึงด้านบนแล้ว

 

จุดเด่น ของศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ คือ วิว ด้วยความที่เป็นภูเขาที่อยู่ใกล้ๆชุมชนทำให้เห็นวิวชุมชนใหญ่ของ เกาะสีชังแบบไม่ไกลจนเกินไป จากบนนี้จะเห็นจุดสำคัญๆของเกาะสีชังได้เกือบหมดเช่น ท่าเรือ ประภาคารเกาะสีชัง จนถึง สะพานอัษฎางค์นู่นเลย 

 

ตามตำนานเล่าว่า การค้าขายย่านเกาะสีชังคึกคักมาตั้งแต่อดีตเพราะใกล้ฝั่งและใกล้ปากแม่น้ำแถมยังใช้เกาะหลบลมหลบพายุได้ด้วย ต่อมาพ่อค้าเรือสำเภาชาวจีนสังเกตว่าภูเขาบริเวณหัวเกาะซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “เขาคยาศิระ” จะมีแสงสว่างในเวลากลางคืนสร้างความประหลาดใจอย่างมาก พ่อค้าจีนจึงออกสำรวจและพบหินรูปเจ้าพ่อเขาใหญ่ในกิริยานั่ง จึงเกิดความศรัทธา ภาวนาขอให้กิจการรุ่งเรือง หลังจากที่กิจการของพ่อค้าจีนคนนี้เจริญรุ่งเรือง จึงมาสร้างศาลไว้ ณ ที่นี้ 

 

นอกจากเจ้าพ่อ เขาใหญ่แล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆให้สักการะเช่น พระสังกจจาย เจ้าพ่อเห้งเจีย เป็นต้น 

 

 

สะพานอัษฎางค์และพระราชวังจุฑาธุชราชฐาน ถ้าพูดชื่อพระราชวังจุฑาธุชราชฐานที่เกาะสีชัง หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อสักเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงสะพานอัษฎางค์ อาจจะเคยได้ยินอยู่บ้าง ซึ่ง แท้จริงแล้วทั้ง 2 ที่อยู่ในบริเวณ เดียวกัน

 

ตามประวัติแล้ว พระจุฑธุชราชฐานนี้เป็นพระราชวังเพียงแห่งเดียวของประเทศไทยที่อยู่บนเกาะ ในอดีตเป็นพระราชวังฤดูร้อนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

อย่างพื้นที่ในภาพคือฐานของพระที่นั่งมันธาตุรัตน์โรจน์ซึ่งเป็นพระที่นั่งเรือนไม้สักทอง 3 ชั้นถูกรื้อเนื่องจากเกิดวกฤติ การณ์ รศ.112 และนำชิ้นส่วนไปก่อสร้างพระที่นั่งในพระนคร พระราชทานนามใหม่ว่า “พระที่นั่งวิมานเมฆ” 

 

 

 พระราชวังแห่งนี้เกิดขึ้นเพราะสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ช่วงมีพระชนมายุ 3 พรรษาทรงพระประชวร  แพทย์หลวงประจำพระองค์เห็นว่าควรให้เสด็จประทับในที่ที่ได้รับลมทะเล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเสด็จมาประทับที่เกาะสีชัง แต่การเสด็จคราวนี้มาประทับที่เรือนของหลวงไปพลางๆก่อน

ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯให้สร้างอาคารขึ้น 3 หลังให้เป็นสถานที่สำหรับผู้ป่วยพักรักษาตัวและก่อสร้างเพิ่มเติมในภายหลังจนกลายเป็นพระราชวังพระจุฑาธุชราชฐานในที่สุด ส่วนเรือนไม้สี เขียวปัจจุบันเป็นที่จำหน่ายเครื่องดื่ม สามารถมานั่งดื่มชมวิวทะเลได้

 

 

จุดเด่นที่สุดของที่นี่และเป็นสัญลัษณ์หนึ่งของเกาะสีชังคือ สะพานอัษฎางค์ ชื่อสะพานมาจาก “พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า อัษฎางค์เดชาวุธ” ซึ่งทรงประชวรและมาประทับที่พระราชวังพระจุฑาธุชราชฐานแห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าที่เกาะสีชังนี้เวลาน้ำลงหรือน้ำแห้งเรือจะไม่สามารถมาจอดที่ชายหาดได้ ชาวเกาะสีชังต้องเดินลุยน้ำขึ้นลง ซึ่งลำบากและอาจจะบาดเจ็บได้ จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างสะพานที่บริเวณชายทะเลด้านทิศตะวันออกของพระราชวัง

สะพานปัจจุบันไม่ใช่ของดั้งเดิมทั้งหมด สะพานเดิมทรุดโทรมมากเหลือเพียงซากฐานตอม่อ ปีพ.ศ.2535 ได้สร้างสะพานขึ้นใหม่ และปี พ.ศ.2545 ได้สร้างศาลาขึ้น 3 หลังโดยอ้างอิงรูปแบบตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์

เราไปกันช่วงเย็น ก่อนพระอาทิตย์ตก ลมเย็นสบาย มีคนมาวิ่งออกกำลัง บรรยากาศดีมาก ก็ขอเดินเล่นกันอีกสักพัก ก่อนจะไปสถานที่ต่อไป

 

ช่องอิศริยาภรณ์ หรือ ช่องเขาขาด เป็นมุมที่เราคิดว่าพลาดไม่ได้เลยสำหรับการมาชมพระอาทิตย์ตก เพราะบริเวณนี้อยู่ทิศตะวันตก ความโค้งของภูเขาทำให้เกิดเป็นภาพที่สวยมาก 

 

 

 

ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของ “อัษฎางคะวัน” ซึ่งเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ประมาณ 800 ไร่สร้างขึ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อให้ผู้คนได้มีที่พักผ่อน วันที่เราไปถือเป็นโชคดีที่ฟ้าไม่โปร่งจนเกินไป มีเมฆอยู่บ้างแต่ไม่หนาจนบังพระอาทิตย์ทำให้ได้ภาพที่สวยงามมาก ใครชอบเดินก็สามารถเดินไปจนสุดแหลมที่ยื่นลงไปในทะเลได้ แต่ส่วนตัวแล้วเราว่ามุมนี้สวยที่สุด

 

 รอยพระพุทธบาท รอยพระพุทธบาทนี้อยู่บนเขาคยาศิระเช่นเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ แต่รอยพระพุทธบาทนี้จะอยู่ สูงกว่าซึ่งสามารถเดินขึ้นบันไดจากศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่มาได้ระยะทางประมาณ 300 เมตรแต่เป็นบันไดตลอดทาง กว่าจะขึ้นถึงเข่าน่าจะตึงน่องน่าจะโป่ง...อีกวิธีคือใช้จักรยานยนต์หรือ Skylab ขึ้นอีกทางที่อยู่ด้านหลัง 

 

ตามประวัติระบุว่า พ.ศ. 2345 พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นดำรงราชานุภาพทรงได้รอยพระพุทธบาทมาจากพุทธคยา  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจึงโปรดเกล้าฯให้นำมาประดิษฐานไว้ที่นี่เพื่อเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของเกาะสีชัง

บนนี้นอกจากจะสามารถสักการะรอยพระพุทธบาทได้แล้วยังสามารถชมวิวเกาะสีชังได้แบบกว้างๆ ด้วยมุมที่สูงกว่าศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ จะมองได้ไกลสุดลูกหูลูกตา หากมาในช่วงเช้าจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างสวยงามอีกด้วย

 

หาดถ้ำพัง อันเป็นหาดที่เล่นน้ำได้เพียงแห่งเดียวของเกาะ ตัวชายหาดขนาดไม่กว้างมากนักเดินจากซ้ายไปขวานับได้ ไม่ถึง 200 เมตร ช่วงกลางวันจะมีเตียงชายหาดให้บริการด้วย แต่เราไปมืดแล้วทุกอย่างเลยเงียบสงัด ถ้าเป็นตอนกลางวันก็ถือ ว่าน่าสนใจอยู่

 

วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่อยากไปไหนไกล ลองมาเที่ยวเกาะสีชัง มีโรงแรมให้เลือกมากมาย และออกมาเที่ยวบนเกาะ มาเรียนรู้วิถีชีวิต 

ความเป็นมาของคนบนเกาะก็น่าสนใจไม่น้อย